การเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงาน

การ “เลิกจ้าง” ถือเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่สุดที่ HR ต้องให้ความรอบคอบ เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิของพนักงาน ความยุติธรรมในองค์กร และภาพลักษณ์ของบริษัท หากดำเนินการโดยไม่เข้าใจกฎหมายหรือขาดหลักฐานที่เพียงพอ อาจนำไปสู่ข้อพิพาทแรงงานและความเสียหายทั้งทางชื่อเสียงและค่าใช้จ่ายได้

ความหมายของ “การเลิกจ้าง” ตามกฎหมายแรงงาน

ตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 การเลิกจ้างหมายถึง “การที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานและเลิกการจ้างออกจากงานโดยไม่มีการกลับเข้าทำงานอีก” ไม่ว่าจะเป็นการสิ้นสุดสัญญาจ้าง หรือการให้ออกจากงานโดยไม่ต่อสัญญา ทั้งหมดถือว่าเป็นการเลิกจ้างในทางกฎหมาย

การเลิกจ้างจึงไม่ได้หมายถึงเพียงการ “เชิญออก” หรือ “ให้ออกจากงาน” แต่ยังรวมถึงกรณีไม่ต่อสัญญา หรือสิ้นสุดการจ้างงานชั่วคราวโดยไม่มีการรับกลับเข้าทำงานด้วย

สิทธิของลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้าง

เมื่อมีการเลิกจ้าง นายจ้างมีหน้าที่ดำเนินการให้ครบถ้วน ดังนี้

  1. ค่าชดเชยตามอายุงาน (มาตรา 118)

    • ทำงานครบ 120 วันแต่ไม่ถึง 1 ปี : ค่าชดเชย 30 วัน

    • ครบ 1 ปีแต่ไม่ถึง 3 ปี : 90 วัน

    • ครบ 3 ปีแต่ไม่ถึง 6 ปี : 180 วัน

    • ครบ 6 ปีแต่ไม่ถึง 10 ปี : 240 วัน

    • ครบ 10 ปีแต่ไม่ถึง 20 ปี : 300 วัน

    • ครบ 20 ปีขึ้นไป : 400 วัน

  2. ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า (มาตรา 17)
    หากนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่แจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 งวดการจ่ายค่าจ้าง ต้องจ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าว

  3. สิทธิอื่น ๆ ที่พนักงานควรได้รับ
    เช่น ค่าจ้างค้างจ่าย ค่าคอมมิชชัน ค่าลาพักร้อนที่ยังไม่ใช้ รวมถึงการออกใบรับรองการทำงาน

  4. การจ่ายสิทธิทั้งหมดภายใน 3 วันทำการ
    หลังจากวันสิ้นสุดการจ้าง นายจ้างต้องจ่ายเงินและสิทธิประโยชน์ทั้งหมดให้เสร็จสิ้น เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทในภายหลัง

กรณีเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย (มาตรา 119)

ในบางกรณี นายจ้างสามารถเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้ หากลูกจ้างกระทำผิดร้ายแรง เช่น

  • ทุจริตต่อหน้าที่

  • จงใจทำให้นายจ้างเสียหาย

  • ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจนบริษัทเสียหาย

  • ฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงาน แม้ได้รับใบเตือนแล้ว

  • หยุดงานโดยไม่มีเหตุอันควรติดต่อกัน 3 วันทำงานขึ้นไป

  • ถูกศาลพิพากษาจำคุก

อย่างไรก็ตาม HR ต้องมี หลักฐานชัดเจนและเอกสารทางวินัยครบถ้วน เช่น รายงานสอบสวน ใบเตือน หรือหลักฐานการกระทำผิด มิฉะนั้นอาจถูกตีความว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมได้

แนวปฏิบัติที่ HR ควรยึดตาม

เพื่อให้การเลิกจ้างเป็นไปอย่างมืออาชีพและถูกต้องตามกฎหมาย HR ควรดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

  1. ตรวจสอบข้อเท็จจริงและหลักฐานให้ครบก่อนตัดสินใจ
    อย่าเร่งรีบตัดสินใจโดยไม่มีข้อมูล ควรมีการสอบสวนภายในและบันทึกผลอย่างเป็นทางการ

  2. บันทึกเอกสารทางวินัยให้เป็นระบบ
    ใบเตือน รายงานสอบสวน หรืออีเมลแจ้งเตือนควรถูกจัดเก็บไว้ในแฟ้มประวัติพนักงาน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาและป้องกันข้อโต้แย้ง

  3. แจ้งเลิกจ้างอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
    หนังสือเลิกจ้างควรระบุวันที่มีผล เหตุผลการเลิกจ้าง และรายละเอียดการจ่ายสิทธิชัดเจน เพื่อให้พนักงานรับทราบและลดความเข้าใจผิด

  4. ดำเนินการด้วยความสุภาพและให้เกียรติพนักงาน
    HR ควรเลือกเวลาสื่อสารที่เหมาะสม และใช้ถ้อยคำที่เป็นกลาง เพื่อไม่ให้พนักงานรู้สึกถูกกดดันหรือเสียศักดิ์ศรี

  5. ชี้แจงสิทธิแรงงานอย่างชัดเจน
    HR ควรแนะนำสิทธิประโยชน์ที่พนักงานพึงได้รับ เช่น เงินชดเชย การยื่นขอเงินว่างงานจากประกันสังคม หรือการออกเอกสารรับรองการทำงาน

  6. จัดเก็บข้อมูลหลังการเลิกจ้าง
    เพื่ออ้างอิงในอนาคต หรือใช้ในกรณีที่มีข้อพิพาทแรงงาน

สรุป

“การเลิกจ้าง” ไม่ใช่เพียงการสิ้นสุดความสัมพันธ์ทางการทำงาน แต่เป็นกระบวนการที่สะท้อนความเป็นมืออาชีพขององค์กร การดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เพียงป้องกันความเสี่ยงทางคดี แต่ยังช่วยรักษาภาพลักษณ์องค์กรให้ดูโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล

สำหรับ HR การเข้าใจกฎหมายแรงงานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพราะกฎหมายอาจมีการปรับปรุง หรือมีแนวคำพิพากษาใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนแนวทางปฏิบัติ การเตรียมความพร้อมและปฏิบัติอย่างเป็นระบบ คือหัวใจของการบริหารงานบุคคลที่ยั่งยืนและเป็นธรรม

Next
Next

หมดยุค การดึงเวลาทำงาน แบบ Manual  เพื่อทำเงินเดือน อีกต่อไป